อายุความฟ้องเรียกค่าจ้าง เริ่มนับแต่วันใด

อายุความฟ้องเรียกค่าจ้าง เริ่มนับแต่วันใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3846/2533

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ประมูลและทำสัญญากับจำเลยก่อสร้างอาคารสถานีต้นทางชิดลม พร้อมด้วยฐานแท่นหม้อแปลง รางเคเบิ้ล ถนนภายในและรั้วล้อมรอบบริเวณในที่ดินของจำเลยโจทก์ก่อสร้างจนแล้วเสร็จและส่งมอบให้จำเลยเรียบร้อยแล้ว จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เพียงบางส่วนยังคงค้างอยู่อีก ๓,๑๖๗,๖๖๖.๖๕ บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าว จำเลยแจ้งว่าโจทก์ทำงานก่อสร้างล่าช้า ต้องเสียค่าปรับ ค่าวัสดุผิดรายละเอียดที่กำหนด ค่าซ่อมหลังคาอาคาร และค่าใช้จ่ายที่จำเลยต้องเสียให้บริษัทผู้ขายและรับจ้างติดตั้งอุปกรณ์ ความจริงแล้วเหตุที่งานก่อสร้างล่าช้าเป็นเพราะจำเลยสั่งเปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างบ้าง เพราะเหตุสุดวิสัยบ้าง ซึ่งมิใช่ความผิดของโจทก์จำเลยจึงอ้างเป็นเหตุหักค่าปรับตามสัญญาไม่ได้ และจำเลยก็หักค่าปรับซ้ำซ้อนกันกับทั้งจำเลยก็มิได้เสียค่าใช้จ่ายให้แก่บริษัทผู้ขาย และรับติดตั้งอุปกรณ์ตามที่อ้างแต่อย่างใด ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า สาเหตุที่โจทก์ก่อสร้างอาคารสถานีต้นทางชิดลมล่าช้ากว่ากำหนดเป็นเพราะความผิดของโจทก์เอง จำเลยจึงมีสิทธิปรับโจทก์ได้ตามสัญญา และไม่ได้ปรับซ้ำซ้อนกัน จำเลยได้จ่ายเงินค่าปรับค่าเสียหายเนื่องจากโจทก์ก่อสร้างงานล่าช้าทำให้จำเลยผิดสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทผู้ขายและรับติดตั้งอุปกรณ์ให้แก่บริษัทผู้ขายและรับติดตั้งอุปกรณ์ไปจริง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความนอกจากนั้นจำเลยหักค่าจ้างไว้เพียง ๒,๕๗๖,๘๐๙.๒๐ บาทเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๒,๓๔๔,๗๔๒.๕๐ บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตรร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒,๑๖๙,๓๐๙ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกาว่า คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ

พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารสถานีต้นทางชิดลม พร้อมด้วยฐานแท่นหม้อแปลง รางเคเบิ้ล ถนนภายในและรั้วล้อมรอบบริเวณที่ดินของการไฟฟ้านครหลวง ซอยชิดลม ถนนเพลินจิต แขวงปทุมวัน กรุงเทพมหานครในราคา ๑๓,๓๘๖,๐๐๐ บาท ระยะเวลาการก่อสร้างและจ่ายเงินค่าจ้างแบ่งเป็น ๑๕ งวด ถ้าโจทก์ก่อสร้างไม่เสร็จตามกำหนดจะต้องถูกปรับในงานส่วนที่ ๑ ซึ่งเป็นงานงวดที่ ๑ ถึงงวดที่ ๕ เป็นรายวันวันละ ๓,๐๐๐ บาท และงานส่วนที่ ๒ ซึ่งเป็นงานงวดที่ ๖ ถึงงวดที่ ๑๕ วันละ ๒๐,๐๗๔ บาท ต่อมามีการปรับราคาก่อสร้างให้โจทก์เพิ่มขึ้นอีก ๒๔๒,๒๔๘.๔๔ บาท และมีการเพิ่มเติมงานกับลดงานบางส่วนลงคงเป็นเงินค่าจ้างที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์จำนวน ๑๓,๓๔๓,๖๐๐.๔๔ บาท โจทก์ได้รับเงินค่าจ้างจากจำเลยบางส่วน โดยจำเลยปรับโจทก์เนื่องจากทำงานล่าช้า ด้วยการหักเงินค่าจ้างที่ต้องจำให้โจทก์ไว้เป็นเงิน ๒,๕๗๖,๘๐๙.๒๐ บาท ซึ่งจำเลยได้มีหนังสือชี้แจงรายละเอียดถึงจำนวนเงินค่าจ้างที่จำเลยค้างจ่ายให้โจทก์และเงินเพิ่มเนื่องจากการแก้ไขแบบ ค่าปรับ ค่าเสียหาย โดยจำเลยระงับการจ่ายเงินจำนวน ๖๕๓,๗๙๔.๘๕ บาท ที่โจทก์มีสิทธิได้รับไว้ก่อน และต่อมาจำเลยได้มีเอกสารหมาย จ.๑๘ ลงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ แจ้งให้โจทก์ยืนยันขอรับเงินอีกจำนวน ๑,๐๘๗,๒๔๖.๘๔ บาท ซึ่งโจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว และสงวนสิทธิที่จะเรียกร้องเงินที่ค้างจ่ายอีกจำนวน ๓,๑๖๗,๖๖๖.๖๕ บาท โดยให้ทนายความมีหนังสือทวงถามตามเอกสารหมาย จ.๑๔ จำเลยได้รับหนังสือนั้นแล้วและมีหนังสือเอกสารหมาย จ.๒๐ ยืนยันว่าจำเลยมีสิทธิหักเงินค่าปรับและค่าเสียหายเนื่องจากโจทก์ทำงานล่าช้าเป็นเงิน ๒,๕๗๖,๘๐๙.๒๐ บาท คงเหลือเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับและจำเลยได้จ่ายไปแล้วจำนวน ๑๐,๘๑๖,๗๙๑.๒๙ บาทเท่านั้น และฟังได้ว่าจำเลยได้รับมอบงานครั้งสุดท้ายจากโจทก์ก่อนวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๒๑ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกมีว่า คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้กรณีเรื่องนี้เป็นการจ้างทำของ ซึ่งจะต้องปรับบทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๐๒ วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า อันสินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำ อันมีความหมายในทางกลับกันมา ผู้รับจ้างย่อมเรียกร้องเอาสินจ้างจากผู้ว่าจ้างได้เมื่อผู้ว่าจ้างรับมอบการที่ทำ ดังนั้นอายุความที่ผู้รับจ้างจะเรียกร้องเอาสินจ้างจากผู้ว่าจ้างจึงย่อมเริ่มต้นนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปมีกำหนดเวลา ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ (๗) ทั้งนี้เว้นแต่จะมีเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงหรือสะดุดหยุดอยู่ คดีนี้แม้จะปรากฏว่าจำเลยรับมอบงานครั้งสุดท้ายจากโจทก์ก่อนวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๒๑ และโจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๓ เป็นเวลาเกิน ๒ ปี เกินกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ (๗) ก็ตาม แต่ก็ได้ความตามหนังสือของจำเลยที่มีไปถึงโจทก์ลงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ ตามเอกสารหมาย จ.๑๘ เท้าความถึงหนังสือของโจทก์ที่ขอความเป็นธรรมในการต่ออายุสัญญาเพิ่มเติม และเรียกร้องเกี่ยวกับการหักเงินซึ่งจำเลยพิจารณาแล้วเห็นสมควรเพิ่มเวลาการต่ออายุสัญญาให้อีก ๗ วัน ส่วนเงินค่าจ้างที่ยังไม่ได้จ่าย ๖๕๓,๗๔๙.๘๕ บาท ๒. ค่าจ้างเนื่องจากการปรับราคา ๒๔๒,๒๔๘.๔๙ บาท และ ๓. ลดค่าปรับ ๗ วัน วันละ ๒๐,๑๗๔ บาท เป็นเงิน ๑๔๑,๒๕๓ บาท รวมเป็นเงิน ๑,๐๘๗,๒๔๖.๘๔ บาท จำเลยจึงขอให้โจทก์มีหนังสือยืนยันขอรับเงินจำนวนดังกล่าวให้จำเลยไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินการจ่ายเงินให้โจทก์ต่อไป ตามหนังสือของจำเลยดังกล่าวมีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยได้หักเงินค่าจ้างตามสัญญาว่าจ้างที่จำเลยจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ไว้จริง เมื่อโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธิที่จะหักไว้และขอให้จำเลยพิจารณาทบทวนครั้นจำเลยพิจารณาแล้วยอมรับว่าที่จำเลยหักไว้หรือไม่ยอมจ่ายให้โจทก์มีบางส่วนที่ไม่ถูกต้องจริง จึงยอมคืนส่วนที่จำเลยเห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธิหักไว้คืนให้โจทก์ แม้เป็นการโต้เถียงในเรื่องจำนวนเงินที่จำเลยจะพึงจ่ายให้โจทก์ที่โจทก์จำเลยมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่ก็ฟังได้โดยปราศจากเคลือบคลุม สงสัยตระหนักเป็นปริยายว่า จำเลยยอมรับต่อโจทก์ว่าจำเลยได้หักเงินค่าจ้างหรือยังมิได้จ่ายค่าจ้างบางส่วนที่ไม่ถูกต้องตามสัญญาจ้างที่โจทก์เรียกร้องและยอมใช้เงินบางส่วนนั้นให้โจทก์ จึงเป็นกรณีลูกหนี้รับสภาพต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ นับตั้งแต่จำเลยมีหนังสือเอกสารหมาย จ.๑๘ ถึงโจทก์คือวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ ถึงวันที่โจทก์นำคดีมาฟ้องคือวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๓ ยังไม่เกินกำหนด ๒ ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ ทั้งนี้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๘๑ ปัญหาข้อนี้แม้จะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และโจทก์ก็มิได้ฎีกาขึ้นมา แต่เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่า คดีขาดอายุความและศาลชั้นต้นได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้แล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าจำเลยรับสภาพหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง คดีจึงไม่ขาดอายุความ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นแต่ประการใด ฎีกาข้ออื่นของโจทก์และคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์ส่งมอบงานให้จำเลยตรวจรับงานในวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่.

สรุป

จำเลยจ้างให้โจทก์ก่อสร้างอาคาร ฐานแท่นหม้อแปลง รางเคเบิ้ล ถนนภายในและรั้ว เป็นการจ้างทำของ ผู้รับจ้างย่อมเรียกร้องเอาสินจ้างจากผู้ว่าจ้างได้เมื่อผู้ว่าจ้างรับมอบการที่ทำ อายุความที่ผู้รับจ้างจะเรียกร้องเอาสินจ้างจากผู้ว่าจ้างจึงเริ่มนับแต่นี้เป็นต้นไปมีกำหนดเวลา 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (7)

จำเลยผู้ว่าจ้างมีหนังสือถึงโจทก์ผู้รับจ้างเท้าความถึงหนังสือของโจทก์ที่ขอความเป็นธรรมในการต่ออายุสัญญาเพิ่มเติมและเรียกร้องเกี่ยวกับการหักเงินซึ่งจำเลยพิจารณาแล้วเห็นควรเพิ่มเวลาการต่ออายุสัญญาให้ ส่วนเงินค่าจ้างจำเลยเห็นว่าโจทก์มีสิทธิได้รับเป็นจำนวนตามที่จำเลยคำนวณได้ ขอให้โจทก์มีหนังสือยืนยันขอรับเงินตามที่จำเลยคำนวณได้ให้จำเลยไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินการให้โจทก์ต่อไป อันเป็นการโต้เถียงในเรื่องจำนวนเงินที่จำเลยจะพึงจ่ายให้โจทก์ที่โจทก์จำเลยมีความเห็นไม่ตรงกัน หนังสือของจำเลยดังกล่าวฟังได้โดยปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่าจำเลยยอมรับต่อโจทก์ว่าจำเลยยังมิได้จ่ายเงินค่าจ้างบางส่วนตามสัญญาจ้างที่โจทก์เรียกร้อง และยอมรับใช้เงินบางส่วนนั้นให้โจทก์ เป็นการยอมรับสภาพต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องอายุความเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมสะดุดหยุดลงเมื่อนับตั้งแต่จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ถึงวันที่โจทก์นำคดีมาฟ้องยังไม่เกินกำหนด 2 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

กรณีจำเลยให้การต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ และศาลชั้นต้นได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้แล้ว ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าจำเลยรับสภาพหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง และคดีไม่ขาดอายุความ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น