ก่อสร้างล่าช้า บอกเลิกสัญญา เอาค่าจ้างหักเป็นค่าเสียหายได้หรือไม่

ก่อสร้างล่าช้า บอกเลิกสัญญา เอาค่าจ้างหักเป็นค่าเสียหายได้หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2365/2536

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาจ้างเหมาให้จำเลยก่อสร้างบ้านตึกแฝดสองชั้นพร้อมโรงรถ ปรากฏว่าจำเลยก่อสร้างผิดจากรูปแบบและรายการก่อสร้างแนบท้ายสัญญา ใช้วัสดุสัมภาระที่มีคุณภาพต่ำเกิดความชำรุดบกพร่องต้องซ่อมแซมมากและก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา โจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับจากจำเลยได้ตามสัญญาวันละ1,000 บาท นับจากวันที่สัญญาครบกำหนด โจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลย และจ้างช่างอื่นมาทำงานต่อ ขอให้จำเลยชำระเงิน777,000 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยและค่าเสียหายเป็นเบี้ยปรับวันละ 1,000 บาท

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ก่อสร้างตามแบบแปลนแผนผังและรายการที่กำหนดไว้ในสัญญาครบถ้วนแล้ว ไม่มีการชำรุดบกพร่องโจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา รายการตามฟ้องเป็นการก่อสร้างในงวดที่ 1 ถึงงวดที่ 7 ซึ่งโจทก์ได้ตรวจรับมอบงานและจ่ายสินจ้างให้จำเลยแล้วโดยมิได้โต้แย้งและได้รับมอบบ้านจากจำเลยแล้ว จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย โจทก์ส่งมอบวัสดุสัมภาระให้จำเลยหลังจากครบกำหนดตามสัญญาแล้ว จำเลยจึงไม่สามารถทำงานให้เสร็จตามกำหนดได้เหตุดังกล่าวเป็นความผิดของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากจำเลย โจทก์รับมอบบ้านและเข้าอยู่อาศัยตลอดมา โดยที่ยังมิได้ชำระค่าสินจ้างในงานงวดที่ 8 และระหว่างการก่อสร้างโจทก์ว่าจ้างจำเลยก่อสร้างเพิ่มเติมนอกเหนือจากสัญญาอีกหลายรายการซึ่งโจทก์ยังมิได้ชำระสินจ้างให้ ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 701,935.16 บาท พร้อมกับดอกเบี้ย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่มีสิทธิรับเงินค่าจ้างในงวดที่ 8 เพราะจำเลยทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญาและละทิ้งงานไปโจทก์ว่าจ้างจำเลยก่อสร้างเพิ่มเติมเฉพาะรายการตามเอกสารแนบท้ายคำให้การแก้ฟ้องแย้งเท่านั้น เป็นเงิน 103,500 บาท ซึ่งจำเลยได้รับเงินไปเรียบร้อยแล้ว ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงิน 119,460 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2526 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระให้จำเลยแล้วเสร็จ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระเงิน 152,500 บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ในยอดเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2526 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเงินให้จำเลยแล้วเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อจำเลยผิดสัญญาก่อสร้างบ้านพิพาทโดยไม่ส่งมอบงานให้โจทก์ภายในกำหนดเวลาตามสัญญาจำเลยต้องชำระค่าปรับตามสัญญาให้โจทก์นับแต่วันผิดสัญญาถึงวันฟ้องเป็นเงิน 311,000 บาทแก่โจทก์นั้น เห็นว่า โจทก์ทวงถามจำเลยให้ส่งมอบงานพ้นเวลาที่กำหนดในสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างบ้านพิพาทแล้วถึงประมาณ 4 เดือน ตามเอกสารหมาย ล.23 และโจทก์เข้าอยู่ในบ้านพิพาทขณะที่จำเลยขนย้ายออกจากบ้านพิพาทถือได้ว่าโจทก์รับมอบงานจากจำเลยแล้ว โดยตามหนังสือทวงถามเอกสารหมาย ล.23ดังกล่าว โจทก์มิได้กล่าวสงวนสิทธิเรียกเอาค่าปรับฐานผิดสัญญาไว้แต่โจทก์เพิ่งจะทวงถามให้จำเลยชำระเบี้ยปรับตามสัญญาในเดือนตุลาคม 2536 ตามเอกสารหมาย จ.27 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากจำเลย

ที่โจทก์ฎีกาว่า งานก่อสร้างงวดที่ 8 อันเป็นงวดสุดท้ายไม่เสร็จตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างบ้านพิพาทเป็นเพราะความผิดของจำเลย โจทก์ไม่ต้องชำระค่าสินจ้างงวดที่ 8 ให้นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่า งานก่อสร้างของจำเลยล่าช้าเกินกำหนดเวลาตามสัญญาและมีความชำรุดบกพร่องหลายรายการ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 599 โจทก์ชอบที่จะยึดหน่วงสินจ้างงวดที่ 8 ไว้จนกว่าจำเลยจะซ่อมแซมความชำรุดบกพร่องแล้วเสร็จหากจำเลยจัดทำไม่เสร็จจนโจทก์บอกเลิกสัญญา และในที่สุดโจทก์เข้าอยู่ในบ้านพิพาท โจทก์ชอบที่จะหักเป็นค่าซ่อมแซมความเสียหายตามควรค่าแห่งการนั้นได้เท่านั้น หากมีค่าสินจ้างเหลือก็ต้องคืนให้จำเลยไป ไม่ชอบที่โจทก์จะไม่ชำระค่าสินจ้างเสียเลย

พิพากษายืน

สรุป

โจทก์ทวงถามจำเลยให้ส่งมอบงานพ้นกำหนดเวลาที่กำหนดในสัญญาและได้เข้าอยู่ในบ้านพิพาทขณะที่จำเลยขนย้ายออกจากบ้านพิพาทถือได้ว่าโจทก์รับมอบงานจากจำเลยแล้ว โจทก์มิได้กล่าวสงวนสิทธิเรียกเอาค่าปรับฐานผิดสัญญาไว้ จึงไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากจำเลย เมื่องานก่อสร้างของจำเลยล่าช้าเกินกำหนดเวลาตามสัญญาและมีความชำรุดบกพร่อง โจทก์ชอบที่จะยึดหน่วงสินจ้างไว้จนกว่าจำเลยจะซ่อมแซมเสร็จแต่เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาและเข้าอยู่ในบ้านพิพาทก็ชอบที่จะหักเป็นค่าซ่อมแซมความเสียหายตามควรค่าแห่งการนั้นได้หากมีค่าสินจ้างเหลือต้องคืนให้จำเลยไม่ชอบที่โจทก์จะไม่ชำระค่าสินจ้างเสียเลย